วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของวิตามินสำหรับเด็ก

เขียนโดย Blog for Mom and Dad ที่ 03:31
                                       
ในเด็กวัย 3-6 ปี เขาต้องการวิตามินที่มีประโยชน์อะไรบ้างคะ
          
เด็กวัยนี้เขาต้องการวิตามินทุกตัวนั่นแหละครับ และวิตามินที่เรามักพูดถึงกันอยู่เสมอจะมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ วิตามินที่ละลายในน้ำ คือ วิตามิน C และวิตามิน B1 B2 B6 B12 และก็มีไบโอติน ไนอาซิน กรดแพนโทธีนิค และโฟเลซิน 

วิตามินกลุ่มที่สองคือวิตามินที่ละลายในไขมัน จะมี A D E และ K ซึ่งวิตามินทั้งหมดมีความจำเป็นกับร่างกายของเรา เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายเราทำงานได้ดีขึ้น หรือทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น


พูดอีกอย่างก็คือวิตามินจะทำหน้าที่เหมือนน้ำมันเครื่องหล่อลื่นให้เครื่องจักรทำงานได้ดีขึ้น อย่างที่บอกว่าวิตามินไม่ใช่เชื้อเพลิงโดยตรง เหมือนคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวเสริมช่วยให้การเผาผลาญเชื้อเพลิง เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันให้เป็นพลังงานและทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายดีขึ้นครับ
            
หน้าที่ของวิตามิน B รวมคืออะไรคะ
          
วิตามิน B จะทำหน้าที่ช่วยให้การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้ร่างกายสังเคราะห์พลังงานได้ดีขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือเป็นส่วนที่จะช่วยเสริมให้การทำงานต่างๆ ในร่างกายทำงานปกติ คงสภาพดีอยู่เสมอ หน้าที่อีกอย่างของวิตามิน B จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสร้าง DNA และ RNA ซึ่งสองตัวนี้เป็นพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ของคนด้วย
          
ขอยกตัวอย่างอย่าง วิตามิน B1 นะครับ ตัวมันเองจะช่วยให้ปฎิกิริยาในการสร้างพลังงานของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติ ถ้าไม่มีวิตามินตัวนี้ และเรากินคาร์โบไฮเดรตมาก ร่างกายเราจะขาดตัวช่วยในการสร้างพลังงาน ทำให้เราสร้างพลังงานไม่ได้ หรือแปลงเป็นพลังงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นถ้าเรารับประทานคาร์โบไฮเดรตมาก เราจะต้องการวิตามิน B1 มากตามไปด้วยครับ
           
คราวนี้มาถึงวิตามิน B2 ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตสมบูรณ์มากขึ้น ถ้าร่างกายของเราขาดวิตามินพวกนี้ เครื่องจักรหรืออวัยวะของคนเราจะทำงานได้ไม่ค่อยดี วิตามิน B6 เองจะทำหน้าที่เหมือนๆ กันกับวิตามิน B1 และ B2 ครับ คือจะทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญกรดอะมิโนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
            
วิตามิน C ล่ะคะมีหน้าที่อะไรบ้าง
         
ก็จะทำหน้าที่ในการสร้างคอลลาเกนหรือเนื้อเยื่อ ซึ่งในร่างกายของเรา ผิวหนังเรา เส้นเลือดเรา ชั้นใต้ผิวหนังจะมีคอลลาเกนอยู่เพื่อให้เกิดการคงตัว ยืดหยุ่น ผมอยากให้ลองนึกภาพเวลาที่เราเป็นแผลขึ้นมา ร่างกายจะสร้างคอลลาเกนขึ้น พร้อมกับสร้างเซลล์ขึ้นมาเพื่อให้แผลหาย
         
ทีนี้ถ้าเด็กคนไหนขาดวิตามิน C จะทำให้คอลลาเกนไม่แข็งแรง และส่งผลให้เส้นเลือดของเราแตกง่าย ทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันหรือที่เรียกว่าโรคลักปิดลักเปิดได้ง่าย นอกจากนั้นในเด็กเล็กที่ขาดวิตามินนี้จะมีเลือดออกตามใต้เยื่อบุกระดูกด้วย ซึ่งพ่อแม่จะมองไม่เห็นหรอกครับ แต่สามารถสังเกตอาการลูกได้ว่า เขาตัวซีด ปวดขา ร้องกวน และไม่ขยับแขนขาหรือเปล่า ซึ่งอาการแบบนี้จะเจอแต่ในเด็กหลังหย่านมแม่หรือไม่ให้รับนมแม่ หรือไม่ยอมกินอาหารอื่น และน้ำส้ม ทานแต่เพียงนมกล่อง UHT ซึ่งมีวิตามินซีน้อย ผู้ใหญ่อย่างเราๆ จะไม่ค่อยเจอกันสักเท่าไหร่
            
แล้ววิตามินที่ละลายในไขมันทำงานต่างกับวิตามินที่ละลายในน้ำอย่างไรบ้างคะ
          
วิตามิน A หน้าที่หลักๆ ก็คือจะช่วยให้มองเห็นได้ไวขึ้น นอกจากนั้นก็ช่วยให้เยื่อบุผิวแข็งแรงด้วย ซึ่งเยื่อบุผิวจะอยู่ที่แก้วตา ถ้าเด็กคนไหนขาดวิตามิน A เยื่อบุแก้วตานี้เองแหละครับจะไม่แข็งแรง จะมีลักษณะนิ่ม ติดเชื้อง่าย อักเสบง่าย ถ้าแผลอักเสบไปเรื่อยๆ และหายแล้ว จะกลายเป็นแผลเป็นทั้งตา ทำให้ตาบอดมองไม่เห็น
        
ในกรณีที่เยื่อบุหลอดลมไม่แข็งแรง เด็กจะติดเชื้อง่าย ทำให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือเป็นหวัดง่าย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจง่ายขึ้น และถ้าเยื่อบุทางเดินอาหารไม่แข็งแรง จะทำให้ท้องเสียได้ง่ายขึ้นด้วยครับ
        
สำหรับวิตามิน D จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียม และทำให้แคลเซียมกับฟอสเฟตไปจับกันที่กระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นครับ
         
วิตามิน E ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่กล่าวกันมาตลอดก็คืออาจช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งได้ง่าย หรือภาวะแก่ก่อนวัยครับ เด็กคลอดก่อนกำหนดส่วนใหญ่มักขาดวิตามิน E ซึ่งจะทำให้มีอาการเม็ดเลือดแดงแตก ตัวซีด และตัวบวม
         
สุดท้ายคือวิตามิน K จะทำหน้าที่ช่วยสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว เพราะฉะนั้นถ้าเด็กคนไหนขาดวิตามินนี้จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไปกระแทกกับอะไร เลือดจะออกได้ง่าย ดังนั้นต้องระวังหน่อยนะครับ
             
อยากทราบว่าวิตามิน B รวม และวิตามิน C มีอยู่ในอาหารประเภทไหนบ้างคะ
        
วิตามิน B1 จะมีอยู่มากในข้าวซ้อมมือ พืชตระกูลถั่วครับ และอีกอย่างก็คือเนื้อหมู ซึ่งเราอาจไม่รู้กันเลยก็ได้ แต่ ถ้าสังเกตกันดีๆ จะเห็นว่าหมูเขากินรำข้าว ซึ่งมีวิตามิน B1 อยู่มาก
        
ส่วนวิตามิน B2 จะมีอยู่ในเนื้อ นม ไข่ และเครื่องในสัตว์ รวมถึงพืชตระกูลถั่ว และผักใบเขียวด้วยครับ ส่วนวิตามิน B6 จะมีในเนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ไข่แดง และตับ วิตามิน B12 จะมีอยู่มากในพวกเนื้อสัตว์ ไข่ ตับ ไต และน้ำปลา สำหรับวิตามิน C จะมีอยู่ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและผักสดทั้งหลาย เช่น ส้ม มะนาว มะเขือเทศ สับปะรด ใบและดอกกะหล่ำ
             
แล้ววิตามินที่ละลายอยู่ในไขมันมีอยู่ในอาหารประเภทไหนบ้างคะ
        
วิตามินที่ละลายในไขมันอย่างวิตามิน A จะเข้าสู่ร่างกายได้ดี ก็ต่อเมื่อเรากินอาหารที่มีไขมันเข้าไป ซึ่งไขมันนี้แหละจะพาวิตามิน A เข้าไปด้วย นอกจากนั้นตัววิตามิน A จะมีอยู่มากในไข่แดง นม เนย ตับ ในผักสีเขียว เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทอง แครอท มะละกอสุก มะม่วงสุก มะเขือเทศ ฯลฯ
        
ส่วนวิตามิน D ส่วนมากจะมีในแสงแดดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องไปหาวิตามินนี้จากที่อื่นหรอกครับ แค่ได้รับแสงแดดก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของอาหารที่มีวิตามิน D ก็คือในน้ำมันตับปลา ตับ ไข่ นม และเนยครับ
         
อย่างไรก็ดี ผมอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ครับว่า การให้ลูกรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณเหมาะสมนี่ถือว่ามีประโยชน์มาก เพราะจะได้วิตามินอันหลากหลาย เช่น วิตามิน B ทั้งหมด รวมถึง วิตามิน C และวิตามิน A D E K ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือในเนื้อสัตว์ มีวิตามินครบทุกประเภท เพียงแต่เราไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก ที่ผ่านมาเวลานึกถึงคำว่า วิตามิน เราจะนึกถึงแค่พืช ผัก ผลไม้ แต่จริงๆ แล้วในอาหารเกือบทุกชนิดจะมีวิตามินอันหลากหลายอยู่ด้วยเช่นกันครับ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กคนไหนกินอาหารครบทุกหมวดหมู่ และกินอาหารไม่ซ้ำซาก จำเจ เขาจะไม่มีปัญหาในการขาดวิตามินอย่างแน่นอน
           
แล้ววิตามิน E กับวิตามิน K ล่ะคะมีอยู่ในอาหารประเภทไหนบ้าง
        
วิตามิน E จะมีอยู่ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน และวิตามิน K จะมีอยู่ในพืชผักสีเขียว แต่ที่เราไม่รู้ก็คือว่าวิตามินนี้ร่างกายสามารถสร้างเองได้ โดยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของเราเอง สำหรับเด็กที่ไม่แข็งแรงต้องกินยาปฎิชีวนะบ่อยๆ ตัวยาจะไปฆ่าแบคทีเรียในลำไส้ของเรา ทำให้ร่างกายอาจขาดวิตามิน K ได้ แต่ถ้าหยุดยาเมื่อไหร่ ร่างกายจะฟื้นขึ้นมาเอง และแบคทีเรียจะสร้างวิตามิน K ขึ้นมาอีก
        
อย่างไรก็ดี ผมอยากให้เด็กๆ ได้กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เป็นดีที่สุด คือไม่จำเป็นจะต้องเน้นที่การรับประทานผักแต่เพียงอย่างเดียว หรือเนื้อสัตว์แต่เพียงอย่างเดียว คนเราควรกินให้หลากหลาย และกินให้ได้สัดส่วนพอเหมาะ
        
เมื่อพูดถึงวิตามินในอาหารแล้ว เรามักจะพูดกันแค่ว่าในผักสีเขียวจะให้วิตามิน A มาก หรือในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะให้วิตามิน C มาก โดยส่วนตัวแล้วอยากทราบค่ะว่าเด็กเล็กๆ ควรทานอาหารในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะได้วิตามินอย่างพอเพียงกับร่างกาย
        
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ผักบุ้ง 50 กรัม หรือครึ่งขีด เด็กจะได้วิตามิน A ถึง 5,000 กว่าอินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต หรือตำลึง 25 กรัม จะให้วิตามิน A 4,600 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต หรือฟักทอง 1 ขีดจะได้วิตามิน A ถึง 3,000 กว่าอินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต หรือมะละกอสุก 250 กรัม หรือ 2 ขีดครึ่ง เด็กจะได้รับวิตามิน A ถึง 3,250 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต ซึ่งถือว่าเพียงพอเพราะในวัยเด็ก 4-6 ปี ต้องการวิตามิน A เพียง 2,500 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิตต่อวัน
          
คราวนี้เรามาดูกันที่วิตามิน C กันบ้าง เช่น ส้ม 1 ขีดหรือประมาณ 1-2 ลูกจะให้วิตามิน C ประมาณ 42-70 มิลลิกรัม ซึ่งในเด็กทารกเขาต้องการเพียง 35 มิลลิกรัมเท่านั้น ส่วนเด็กโตต้องการประมาณ 40 มิลลิกรัมเองครับ หรืออย่างมะละกอ 1 ขีด จะให้วิตามิน C ถึง 78 มิลลิกรัม
          
เพราะฉะนั้นแค่เด็กเล็กๆ ได้ทานอาหารพวกนี้เพียงนิดหน่อย เขาจะได้รับวิตามินอย่างพอเพียงแล้วล่ะครับ ไม่ต้องโหมกินอะไรให้มากมายเลย และที่สำคัญผมคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะมานั่งคิดนะครับว่า เราควรจะให้ลูกเรากินเท่าไหร่ กี่จาน หรือกี่ลูก เพราะจะทำให้สับสนไปเปล่าๆ จริงๆ แล้ว การรับประทานอาหารไม่เยอะมากตามที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เด็กเขาจะได้รับวิตามินตามที่เขาควรจะได้รับแล้ว การที่เราจะเห็นเด็กที่ขาดวิตามินอย่างจริงๆ จังๆ นี่ยากมากเลยนะครับ ตราบใดที่เขากินอาหารตามปกติทุกอย่าง
           
วิตามินที่คาดว่าเด็กจะได้รับจากอาหารนั้น จะลดน้อยลงไปตามขั้นตอนการทำอาหารหรือเปล่าคะ
         
การปรุงอาหารตามปกติ ไม่ได้ทำให้วิตามินหายไปมากมายอย่างที่เรากลัวกันครับแต่การปรุงอาหารบางประเภท เช่นร้อนเกินไปอาจทำให้วิตามินที่ทนความร้อนไม่ได้ เช่น B1 จะสูญเสียไปตามขั้นตอนการปรุงอาหารได้ การที่วิตามินจะสูญเสียไปหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับวิธีการหุง การเก็บ และการดูแลอาหาร
        
พ่อแม่บางคนอาจกังวลว่าลูกทานอาหารได้น้อย ดังนั้นเขาอาจได้รับวิตามินน้อยตามไปด้วย ในกรณีนี้การเลือกวิตามินที่บรรจุเป็นเม็ดให้ลูกจะเป็นการทดแทนกันได้หรือเปล่าคะ
        
ในกรณีที่เป็นเด็กปกติ ทานอาหารได้ปกติ ผมว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรต้องไปซื้อวิตามินเป็นเม็ดๆ ให้ลูกรับประทานเลยนะครับ ผมเชื่อว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินด้วยวิธีนี้ แต่จะเสริมในรายที่หมอเห็นว่าจำเป็นจริงๆ เช่น เด็กที่มีประวัติการกินที่แย่ หรือเลือกกินมาก หรือมีอาการที่ขาดวิตามินต่างๆ เช่น เด็กที่ขาดวิตามิน B1 จนเป็นโรคเหน็บชา หรือขาดวิตามิน B2 จนเป็นโรคปากนกกระจอก
            
มีบ้างไหมคะที่เด็กๆ อาจได้รับวิตามินเกินกว่าร่างกายต้องการ จากการทานอาหารประเภทนั้นๆ มากเกินไป
         
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเด็กคนไหนกินอาหารตามปกติ จะไม่เกิดภาวะที่เรียกว่าได้รับวิตามินมากเกินหรอกครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก นอกเสียจากเด็กคนนั้นโหมกิน คือกินทั้งอาหาร กินทั้งวิตามินที่บรรจุเม็ด อย่างนั้นเขาอาจจะได้รับวิตามินที่มากเกิน
         
จะว่าไปแล้ววิตามินที่ละลายในน้ำ จะไม่สะสมในร่างกาย เพราะฉะนั้นกินเท่าไหร่จะไม่มีทางเกินได้ครับ แต่วิตามินที่ละลายในไขมันถ้ามีในร่างกายมากเกินไปอาจเป็นพิษกับเด็กคนนั้นได้ เช่น วิตามิน A ซึ่งเห็นชัดที่สุด คือเด็กจะมีผิวแห้งเป็นสะเก็ดมาก และมีความดันศรีษะสูง ทำให้ปวดศรีษะ คลื่นไส้ และอาเจียน
          
อย่างไรก็ดี ผมขอย้ำว่า ถ้าตราบใดที่เด็กทานอาหารตามปกติ และคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ซื้อวิตามินเสริมมาให้ลูกรับประทาน จะไม่มีทางได้รับวิตามินเกินอย่างแน่นอนหรือถ้าเกิดได้รับเกินขึ้นมาโดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามักจะสามารถจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้เองครับ
          
อย่างที่คุณหมอท่านว่าไว้นะคะว่า เพียงรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เรื่องจะขาด วิตามิน ที่ดีมีประโยชน์ก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ
ที่มารักลูก
 

. Copyright © 2012 Design by Antonia Sundrani Vinte e poucos